(IT)จะซื้อลำโพงทั้งที ต้องรู้อะไรบ้าง

อุปกรณ์ไอที

การเลือกซื้อลำโพงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะถ้าคุณจะซื้อลำโพงทั้งที ต้องรู้อะไรบ้าง ซึ่งต้องพิจารณาหลายปัจจัยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามความต้องการและความพึงพอใจของเราเอง เพราะลำโพงแต่ละแบบมีความสามารถในการให้เสียงที่แตกต่างกัน อีกทั้งเรื่องของราคาก็สำคัญ หากคุณถูกหลอกขายสินค้าราคาแพงแต่ได้คุณสมบัติที่ไม่ต่างจากแบรนด์อื่นก็นับว่าสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ฉะนั้นวันนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับเทคนิคเล็กๆน้อยๆที่จะนำไปใช้เลือกลำโพง

ลำโพง แบ่งออกเป็น 2 ระบบ

ลำโพง แบ่งออกเป็น 2 ระบบ

1.ลำโพงระบบ Active เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายและง่ายต่อการใช้งาน เพียงแค่เสียบปลั๊กแล้วเปิดเครื่อง ก็สามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม เช่นม มิกเซอร์ แอม เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เสริมอีกมากมาย เช่น การเชื่อมต่อบลูทูธ สายเสียบเข้ากับมือถือ การพกพาง่าย ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานทั้งในและนอกบ้าน แต่ควรจะพิจารณาความต้องการในการปรับแต่งเสียงที่อาจจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม เช่น equalizer หรือ sound processor เพื่อปรับแต่งเสียงตามความชอบ

2.ส่วนลำโพงระบบ Passive มักจะมองเป็นทางเลือกที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นสำหรับการปรับแต่งเสียงตามความต้องการ เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์เสริมเช่น พาวเวอร์แอมป์หรือปรีแอมป์ เพื่อขับเสียง ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมและปรับแต่งเสียงได้อย่างละเอียดตามความต้องการ แต่ก็มีความซับซ้อนในการติดตั้งและการใช้งานมากกว่าระบบ Active อีกนัยหนึ่ง นอกจากนี้ ต้องพิจารณาต้นทุนในการซื้อลำโพงและอุปกรณ์เสริมด้วย เพราะอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ต้องเสียในการติดตั้งและปรับแต่งเสียงให้ดีที่สุด  

การเลือกซื้อลำโพงต้องขึ้นอยู่กับความต้องการและการใช้งานของแต่ละบุคคล ถึงแม้ว่าลำโพงระบบ Active จะให้ความสะดวกสบาย แต่ลำโพงระบบ Passive ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งเสียงและมีคุณภาพเสียงที่ดีกว่าอย่างแน่นอน ดังนั้น ควรพิจารณาให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจซื้อลำโพงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมและพอใจที่สุดในการใช้งานในระยะยาว

กำลังขับของลำโพงสำคัญต่อคุณภาพเสียง

กำลังขับของลำโพงสำคัญต่อคุณภาพเสียง

การเข้าใจกำลังขับ (Power Handling) ของลำโพงเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกซื้อเพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีและเหมาะสมกับการใช้งาน โดยทั่วไปแล้วกำลังขับมักถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักคือ RMS และ Peak Power ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างสำคัญในการใช้งานจริงๆ

กำลังขับ RMS หมายถึง กำลังไฟฟ้าที่พาวเวอร์แอมป์สามารถจ่ายหรือลำโพงสามารถรับได้แบบต่อเนื่องตามเวลาที่กำหนดโดยที่ลำโพงสามารถทำงานได้อย่างไม่เกิดความเสียหาย ซึ่งค่านี้บ่งบอกถึงความสามารถในการรับและส่งสัญญาณเสียงในระดับความเสียหายที่ต่ำ

ส่วนกำลังขับ Peak Power หมายถึง ค่ากำลังไฟฟ้าสูงสุดที่ตู้ลำโพงหรือดอกลำโพงรองรับได้ โดยอาจจะเกิดขึ้นเพียงชั่วโมงหรือไม่กี่วินาทีในการใช้งานจริงๆ ค่านี้มักถูกนำมาเป็นคำโฆษณาหลักหรือเป็นจุดเด่นที่สุดของลำโพง แต่ควรทราบว่าค่ากำลังขับแบบ Peak มักมีค่ามากกว่าค่ากำลังขับแบบ RMS เสมอ

ค่าความสัมพันธ์ระหว่างกำลังขับของลำโพงกับระดับความดังของเสียงที่ลำโพงขับออกมาสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้น การดูสเปคลำโพงและการเลือกซื้อควรพิจารณาให้รอบคอบว่าค่ากำลังขับที่ระบุนั้นเป็น RMS หรือ Peak เพื่อให้ทราบถึงความสามารถในการรับและส่งสัญญาณเสียงของลำโพงอย่างแท้จริง 

Max SPL เท่ากับ ค่าความดัง 

Max SPL เท่ากับ ค่าความดัง 

Maximum Sound Pressure Level เป็นค่าที่บ่งบอกถึงความดังสูงสุดที่ลำโพงสามารถขับเสียงออกมาได้ มีหน่วยวัดเป็นเดซิเบล (dB) ซึ่งเป็นหน่วยวัดที่ใช้ในการวัดความดังของเสียง

ค่า Max SPL ที่สูงมากๆ จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการให้เสียงดังของลำโพงนั้นในสภาวะที่มีการใช้งานที่มีเสียงรบกวนหรือขอบเขตความดังสูง สำหรับการใช้งานในพื้นที่ขนาดใหญ่หรืองานที่ต้องการเสียงดัง การเลือกลำโพงที่มีค่า Max SPL สูงจะช่วยให้ได้เสียงที่มีความดังเพียงพอต่อการใช้งาน

อย่างไรก็ตาม การคำนึงถึงค่า Max SPL นั้นควรพิจารณาตามลักษณะการใช้งานและขนาดของพื้นที่ที่จะนำไปใช้งานด้วย ถ้าใช้งานในพื้นที่ห้องเล็กๆ หรือในสภาพแวดล้อมที่ต้องการเสียงที่นุ่มนวลและไม่เสียงดังมาก เราอาจไม่จำเป็นต้องเลือกลำโพงที่มีค่า Max SPL สูงมากนัก

ดังนั้น การคำนึงถึงค่า Max SPL นั้นควรพิจารณาอย่างรอบคอบตามลักษณะการใช้งานและความต้องการของเสียงที่ต้องการ เพื่อให้ได้เสียงที่มีความสมบูรณ์และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการใช้งานที่แตกต่างกัน

ความถี่ ขีดจำกัดในย่านเสียงของลำโพง

ความถี่ ขีดจำกัดในย่านเสียงของลำโพง

ค่าการตอบสนองความถี่หรือ Frequency Response เป็นค่าที่บ่งบอกถึงช่วงของความถี่ที่ลำโพงสามารถตอบสนองได้ โดยมักจะระบุเป็นช่วงความถี่ต่ำสุดถึงความถี่สูงสุดที่ลำโพงสามารถส่งเสียงในช่วงความถี่นั้นๆ ได้โดยไม่มีการลดลงของระดับเสียง ซึ่งค่านี้มักจะระบุในรูปแบบเลขที่คั่นด้วยขีด เช่น 20 – 20,000 Hz

การดูค่า Frequency Response ช่วยให้เราเข้าใจถึงลักษณะเสียงของลำโพงได้ดียิ่งขึ้น โดยการมีค่าความถี่ต่ำสูงตามต้องการ เราสามารถเห็นว่าลำโพงนั้นๆ สามารถขับเสียงเบสได้ลึกและเสียงแหลมได้สูงอย่างครบถ้วนหรือไม่ และมีความสมดุลของระดับเสียงในทุกช่วงความถี่หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ลำโพงแต่ละประเภทมักจะมีความสามารถในการตอบสนองความถี่ที่แตกต่างกันออกไป ลำโพงซับวูฟเฟอร์จะมีความสามารถในการขับเสียงเบสที่เน้นความถี่ต่ำมาก ในขณะที่ลำโพงทวีตเตอร์จะมีความสามารถในการเสียงแหลมที่ดีกว่า 

สรุป

นี่คือปัจจัยหลักเมื่อคุณคิดจะซื้อลำโพงทั้งที ต้องรู้อะไรบ้าง เพื่อให้ได้สินค้าที่เหมาะสมกับการใช้งาน เพราะลำโพงแต่ละชนิดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการตอบสนองที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้น การซื้อของที่แพงที่สุดไม่ได้หมายความว่าจะเหมาะสมกับคุณที่สุดนั่นเอง

บทความ อาโอวี ROV ล่าสุด

บทความ ฟีฟาย FREEFIRE ล่าสุด